วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

มารยาทในการรับประทานอาหาร

มารยาทในการรับประทานอาหาร ทั้งแบบสากลและแบบไทยแท้ ๆ มีอะไรที่เราควรทราบไว้บ้าง เพื่อจะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม มาดูกันเลย

  มารยาทในการรับประทานอาหาร เรื่องพื้นฐานจำให้แม่น !
          การเรียนรู้เรื่องมารยาทในการรับประทานอาหาร ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ และนำมาปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้กับตัวเราเองแล้ว ยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการรับประทานอาหารให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารอีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมจึงหยิบเอามารยาททั่วไปที่ควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารมาฝากกันค่ะ

 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบสากล

มารยาทในการรับประทานอาหาร เรื่องพื้นฐานจำให้แม่น !


          ก่อนอื่นเราก็ต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่ามารยาทในการรับประทานอาหารแบบสากลมีอะไรบ้าง สิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควรปฏิบัติขณะร่วมโต๊ะอาหารกับคนอื่น โดยเฉพาะการร่วมวงรับประทานอาหารกับชาวต่างชาติ และนี่ก็คือเคล็ดลับทั่วไปในการรับประทานอาหารตามหลักสากลที่เราควรรู้ค่ะ

           1. ไม่ส่งเสียงดังขณะรับประทานอาหาร

           2. ควรตักอาหารคำเล็ก ๆ ไม่เลือกตักเฉพาะอาหารที่ชอบ

           3. อย่าบ่นเมื่ออาหารไม่ถูกปาก 

           4. ไม่ควรบังคับให้แขกรับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ตัวเองอยากให้รับประทาน

           5. พยายามพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารบ้าง เพื่อไม่ให้โต๊ะอาหารเงียบจนเกินไป

           6. ไม่ควรว่ากล่าวหรือนินทาใครขณะรับประทานอาหาร

           7. ควรนั่งรับประทานอาหารด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย

           8. ไม่กระดิกเท้า หรือเคาะโต๊ะ

           9. ไม่สูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง

          10. ถ้าอาหารที่ยกมาเสิร์ฟมีฝาปิด ให้เปิดฝาลงไว้ในจาน

          11. ไม่รับประทานอาหารมูมมาม

          จะเห็นว่าหลักการรับประทานอาหารในแบบสากลที่ควรรู้นั้น ไม่ได้มีข้อจำกัดที่ยุ่งยากมากจนเกินไปอย่างที่หลาย ๆ คนกังวลกันเลย แต่มันกลับเป็นแค่ทริคง่าย ๆ ที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากเย็นเลยล่ะ

มารยาทในการรับประทานอาหารแบบยุโรป

มารยาทในการรับประทานอาหาร เรื่องพื้นฐานจำให้แม่น !

          มาดูเรื่องมารยาทในการรับประทานอาหารแบบยุโรปกันบ้าง มารยาทการรับประทานอาหารแบบยุโรปก็ไม่ได้แตกต่างออกไปจากแบบสากลมากนัก เพียงแต่เพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามานิดหน่อยเท่านั้นเอง โดยเฉพาะเรื่องการใช้อุปกรณ์ทานอาหารที่จะมีขั้นตอนเพิ่มเข้ามา เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบจับอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารขึ้นมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ลองมาอ่านแล้วจดจำไปใช้กันเลยจ้า

          สำหรับอาหารยุโรป จะแบ่งการรับประทานออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะของกับใช้อุปกรณ์ คือ

          แบบที่ 1 แบบอเมริกัน เป็นแบบที่ใช้ส้อมด้วยมือขวา และเมื่อจะรับประทานอาหาร ต้องยกปลายส้อมขึ้นข้างบน แล้วใช้ส้อมตักอาหาร ส่วนมีดหากไม่ใช้ให้วางไว้ข้าง ๆ จาน

          แบบที่ 2 แบบยุโรป เป็นแบบที่ใช้ส้อมด้วยมือซ้าย และเมื่อจะรับประทานอาหาร ให้คว่ำปลายส้อมลง และถือมีดไว้ด้วยมือขวา

          ส่วนการอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ เราควรหยิบมาใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม ดังนี้

           1. อันดับแรกควรหยิบผ้าเช็ดปากที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารมาคลี่ออก แล้วนำมาวางไว้บนตัก เพื่อใช้ซับอาหารที่ติดปาก

           2. ถ้าผ้าเช็ดปากตก ให้พยายามหยิบโดยไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่น

           3. ถ้ามีความจำเป็นต้องลุกจากโต๊ะอาหาร ในระหว่างที่ยังรับประทานอาหารอยู่ ให้วางผ้าเช็ดปากไว้ที่เก้าอี้

           4. เมื่อใช้ผ้าเช็ดปากเสร็จแล้วไม่ต้องพับ ให้วางไว้บนโต๊ะด้านซ้ายมือ

           5. ถ้าเป็นการรับประทานอาหารในแบบอเมริกัน ให้ใช้มือขวาจับส้อม และใช้มือซ้ายจับมีดหรือช้อน แต่ถ้าเป็นการรับประทานอาหารในแบบยุโรป ให้ใช้มือซ้ายจับส้อม และใช้มือขวาจับมีดหรือช้อน

           6. ส่วนการรับประทานซุป ให้ใช้ช้อนตักซุปออกจากตัว และรับประทานซุปด้านข้างช้อน

           7. สำหรับการใช้มีด เราควรพึงระลึกอยู่เสมอว่ามีดมีไว้ใช้หั่นอาหารเท่านั้น จึงไม่ควรใช้มีดตักหรือจิ้มอาหารเข้าปาก

           8. แก้วน้ำให้หยิบด้านขวามือของตัวเอง อย่าเผลอไปหยิบด้านซ้าย เพราะจะทำให้โต๊ะอาหารรวนไปทั้งโต๊ะ

           9. เมื่อเลิกใช้ช้อน ส้อม และมีดแล้ว ให้วางไว้บนจานรอง หรือจานอาหาร อย่าวางไว้บนโต๊ะเด็ดขาด

          เห็นไหมคะว่า เคล็ดลับในการรับประทานอาหารในแบบยุโรป ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลาย ๆ คนอีกต่อไป เพราะเพียงแค่เราจดจำรายละเอียดของการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ให้ได้ แล้วนำไปบวกกับเคล็ดลับง่าย ๆ ในการรับประทานอาหารในแบบสากล เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถรับประทานอาหารยุโรปได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปแล้ว



 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์


มารยาทในการรับประทานอาหาร เรื่องพื้นฐานจำให้แม่น !


          ส่วนมารยาทในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องจดจำเช่นกันค่ะ เพราะผู้รับประทานจะต้องช่วยเหลือตนเองในการตักอาหาร เราก็เลยหยิบเอาหลักการง่าย ๆ ในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่ควรปฏิบัติมาฝากกัน


           1. ควรลุกไปตักอาหารเอง โดยยืนต่อแถว ไม่ตักอาหารเผื่อคนอื่น และอย่าตักอาหารมากจนเกินไป ถ้าไม่พอสามารถไปเติมใหม่ได้

           2. ไม่พูดคุยขณะที่ตักอาหาร รีบตักอาหารเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ผู้อื่นได้ตักอาหารบ้าง

           3. ตักอาหารเป็นอย่าง ๆ อย่าวางสุมทับกัน ถ้าของเป็นชิ้นควรหยิบเพียงหนึ่งชิ้น

           4. อาหารที่ตักมาต้องรับประทานให้หมด 

           5. เมื่อรับประทานเสร็จ ต้องเขี่ยเศษอาหารในจานให้อยู่รวมกัน แล้วรวบรวมช้อนส้อมให้เรียบร้อย

           6. ไม่ควรใส่กระดาษเช็ดมือที่ใช้แล้วลงในจาน เพราะจะทำให้ปลิว และเก็บลำบาก จึงควรใช้จานวางทับไว้

           7. ถ้ามีข้อกำหนดให้เอาจานอาหารมาวางไว้ที่ใดที่หนึ่งเมื่อรับประทานเสร็จแล้วควรปฏิบัติตาม 

           8. อาหารหวาน ควรตักเมื่อรับประทานอาคารคาวเสร็จแล้ว

           9. ไม่เบียดหรือแซงคิวผู้อื่น ขณะไปยืนรอตักอาหาร รอจังหวะให้ผู้อื่นตักเสร็จเสียก่อน

          สำหรับเรื่องการวางตัวในการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เรานำมาให้ดูกันนั้น สามารถนำไปใช้ในการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ทั้งของต่างชาติและของไทยได้อย่างลงตัว เพราะไม่ว่าจะชาติไหน ๆ การเข้าคิวยืนรอตักอาหารก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง


 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบไทย


มารยาทในการรับประทานอาหาร เรื่องพื้นฐานจำให้แม่น !

          หลังจากที่นำเสนอมารยาทในการรับประทานอาหารในแบบสากลและแบบยุโรปกันไปแล้ว ก็ขอปิดท้ายที่มารยาทในการรับประทานอาหารแบบไทยกันบ้าง ขอบอกว่าเรื่องนี้คนไทยทุกคนควรจะต้องรู้ และปฏิบัติตามให้ได้นะจ๊ะ ซึ่งการรับประทานอาหารของไทย จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ อาหารแบบตั้งโต๊ะที่มีอาหารตั้งอยู่บนโต๊ะเอาไว้แล้ว และอาหารแบบที่ค่อย ๆ ทยอยเสิร์ฟมาทีละจาน ลองมาดูกันสิว่าเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง

           1. ถ้าไปร่วมงานไม่ได้ ควรแจ้งให้เจ้าภาพทราบล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 วัน

           2. เตรียมเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับงานที่จะไปให้พร้อม 

           3. ควรไปถึงงานก่อนงานเริ่มสัก 10 นาที ไม่ควรไปเร็ว หรือช้ากว่านั้น 

           4. ควรทักทายพบปะกับเจ้าภาพเมื่อไปถึงในงาน

           5. ควรพยายามพูดคุยทักทายกับแขกคนอื่น ๆ ที่มาในงาน

           6. เวลาที่นั่งโต๊ะ ควรให้แขกผู้ใหญ่นั่งก่อน แล้วเราค่อยนั่งตาม

           7. เวลาเดินเข้าประจำโต๊ะ ผู้ชายควรช่วยขยับเก้าอี้ให้ผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ก่อน

           8. ก่อนนั่งโต๊ะควรงดสูบบุหรี่

           9. เวลานั่งโต๊ะให้นั่งตัวตรง

           10. อย่าอ่านหนังสือบนโต๊ะอาหาร นอกจากรายการอาหาร

           11. นำผ้าเช็ดมือที่วางอยู่บนโต๊ะออกมาคลี่ แล้วนำมาวางบนตัก

           12. อย่าเล่นช้อน ส้อม หรือผ้าเช็ดมือ

           13. อย่ากางข้อศอกในเวลารับประทานอาหาร

           14. ถ้ามีสิ่งใดตก ควรแจ้งให้คนเสิร์ฟทราบ

           15. ต้องคอยสังเกตว่าอุปกรณ์ในการรับประทานชิ้นไหนเป็นของเรา อย่าหยิบผิด

           16. ในระหว่างที่ทำการรับประทานอาหารอยู่ อย่าจับ หรือแต่งผม ผัดหน้า ทาปาก เด็ดขาด

           17. ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโต๊ะตามสมควร

           18. อย่าเอื้อมหยิบของผ่านหน้าผู้อื่น แต่ถ้าเพื่อนร่วมโต๊ะส่งให้ก็ควรหยิบเป็นมารยาท

           19. หากทำอะไรผิดก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ต้องแก้ตัว

           20. ถือแก้วดื่มน้ำด้วยมือขวา

           21. อย่าจิ้มฟันในขณะรับประทานอาหาร

           22. รับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมไว้คู่กัน แล้ววางไว้ในจาน

           23. ลุกจากโต๊ะอาหารเมื่อคนอื่น ๆ อิ่มแล้ว
ที่มา:https://hilight.kapook.com/view/90805

สัญลักษณ์และเครื่องหมายต้องห้ามในเยอรมนี



สัญลักษณ์และเครื่องหมายต้องห้ามในเยอรมนี


    Anmerkung: Die Verwendung von verbotenen Symbolen und Zeichen hier dient zur Information und Aufklärung.
    สืบเนื่องมาจากข่าวนักท่องเที่ยวจีนถูกจับเมื่อวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่หน้าตึกรัฐสภาเยอรมัน (ตึก Reichstag) เพราะถ่าย selfie รูปตัวเองโดยยกแขนแสดงท่าทักทายแบบฮิตเลอร์ด้วย จึงขอเรียบเรียงสรุปข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์และเครื่องหมายต้องห้ามในเยอรมนีมาเล่าสู่กันฟังเป็นข้อพึงระวัง เป็นข้อมูลให้คนไทยทั้งที่ใช้ชีวิตในเยอรมนี และที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจในเยอรมนี ที่ยังไม่ทราบ ได้รับทราบไว้ จะได้ไม่พลั้งเผลอเหมือนนักท่องเที่ยวจีน
    ในเยอรมนีห้ามใช้สัญลักษณ์และเครื่องหมายซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายอย่าง การใช้สัญลักษณ์ต้องห้ามเหล่านี้ถือว่าผิดกฎหมาย สัญลักษณ์และเครื่องหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์และเครื่องหมายที่ถูกใช้ในสมัยนาซีและถูกใช้โดยกลุ่มขวาจัด รวมไปถึงสัญลักษณ์ขององค์กรหรือกลุ่มที่ได้รับประกาศว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    ทำไมเยอรมนีถึงห้ามใช้สัญลักษณ์และเครื่องหมายเหล่านั้น
    เพราะไม่ต้องการให้แนวความคิดอันชั่วร้ายของนาซี แนวความคิดขวาจัด และแนวความคิดที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง คือไม่ต้องการให้สิ่งชั่วร้าย(ในอดีต) ได้เจริญงอกงามเติบโตพ่นพิษสงเหมือนเช่นในอดีต ต้องคอยเฝ้าระวัง ไม่ให้มีการเผยแพร่ หว่านเมล็ด ตอนกิ่ง ต่อยอด สิ่งชั่วร้ายดังกล่าว เป็นรู้กันดีว่า สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายต่าง ๆ นั้น มีพลังในการแสดงความคิดได้รวดเร็วและชัดเจนมากกว่าคำอธิบายยาว ๆ
    ถ้าใช้สัญลักษณ์และเครื่องหมายเหล่านี้ มีโทษประการใด
    ตามกฎหมายอาญาเยอรมัน มาตรา 86เอ มีโทษจำคุกถึง 3 ปี หรือโทษปรับ
    สัญลักษณ์และเครื่องหมายต้องห้ามมีอะไรบ้าง
    ไม่ใช่เฉพาะสัญลักษณ์และเครื่องหมายเท่านั้นที่ถูกห้าม ยังมีการแสดงท่าทาง พวกคำพูด คำขวัญ หรือคติพจน์ที่ต้องห้าม
    • คำพูดทักทายและคำลงท้าย:
      • Sieg Heil
      • Heil Hitler (บางครั้งจะใช้ 88 เป็นตัวย่อ ซึ่งแทนอักษรตัวที่ 8 คือ H(Heil) และ H(Hitler) แต่ใช้ตัวเลข 88 ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย)
      • Deutscher Gruß
      • Hitler-Gruß
      • Mit deutschem Gruß
      • Meine Ehre heißt Treue
      • Blut und Ehre
      • Deutschland erwache
      • Ein Volk, ein Reich, ein Führer
      • Rotfront verrecke
    • เพลงแห่งการต่อสู้ เปิดในบ้านได้ยินเองคนเดียวได้ แต่ถ้ายินไปถึงหูบ้านใกล้เรือนเคียง ถือว่าได้ยินในที่สาธารณะ ถือว่าผิดกฎหมาย:
      • Die Fahne hoch (Horst-Wessel-Lied)
      • Es stehet in Deutschland die eiserne Schar, die kämpfet für Freiheit, der Judengefahr …
      • Es zittern die morschen Knochen …
      • Durch Groß-Berlin marschieren wir …
      • … SA marschiert, die Straße frei …
      • Siehst du im Osten das Morgenrot …
      • … Volk ans Gewehr …
      • Sturm, Sturm Sturm (Deutschland erwache!)
      • In München sind viele gefallen
      • Wir sind die Sturmkolonnen
    ถึงแม้ว่าการใช้สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ท่าทาง คำพูด ข้างต้นภายนอกประเทศเยอรมนี จะไม่ผิดกฎหมายเยอรมันก็ตาม แต่เพื่อเป็นการแสดงความเข้าใจในประวัติศาสตร์นาซี ไม่ควรจะสนับสนุนการใช้สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ท่าทาง คำพูด ดังกล่าวในประเทศไทยและในประเทศอื่น ๆ นอกประเทศเยอรมนี
    อย่างไรก็ดี การใช้สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายต้องห้ามเพื่อการศึกษา เพื่อการวิจัย เพื่ออธิบายให้สาธารณะชนได้เข้าใจ หรือใช้ในทางศิลปะ เช่น ใช้ในภาพยนตร์ หรือ ละคร ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย
    หรือการใช้สัญลักษณ์ต้องห้ามที่มีเครื่องหมายแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับ เช่น รูปสวัสดิกะนาซีถูกทิ้งลงตะกร้า หรือถูกชกให้แตกสลายด้วยกำปั้น หรือมีเครื่องหมายห้าม ไม่ผิดกฎหมายเช่นกัน
    ในเมืองไทยเอง ยังขาดความเข้าใจในประวัติศาสตร์นาซีค่อนข้างมาก ยังนิยมนำสัญลักษณ์ของนาซีมาใช้กันอยู่บ้าง เช่น พิมพ์บนเสื้อยืดตามที่เคยเป็นข่าวมาแล้ว
    หากใครมีความรู้ภาษาเยอรมันและต้องการอ่านข้อมูลในภาษาเยอรมันเพิ่มเติมและอย่างละเอียด สามารถคลิกอ่านเอกสาร „Rechtsextremismus: Symbole, Zeichen und verbotene Organisationen“ ของสำนักงาน Bundesamt für Verfassungsschutz (สำนักงานคุ้มครองและพิทักษ์รัฐธรรมนูญ) ได้
    Photo credit: planet-wissen.de
    ที่มา:http://bunma.eu/hello-world

    12ข้อห้ามในวันตรุษจีน

    ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 5 กุมภาพันธ์ วันตรุษจีน 2562 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน คงจะตื่นเต้นกันไม่น้อย เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่จะได้พบกับญาติมิตรที่ไม่เจอหน้ากันมานาน และบางคนก็อาจได้รับอั่งเปาของขวัญจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือด้วย แต่ในเมื่อนี่คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั้งที หลาย ๆ บ้านก็คงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติและข้อห้ามที่สืบทอดต่อกันมา ซึ่งในวันนี้จะพาไปดูกันว่ามีข้อห้ามอะไรบ้างที่ไม่ควรทำในช่วงตรุษจีน

    ข้อห้ามตรุษจีน
              1. ห้ามทำความสะอาดบ้านในวันตรุษจีน

              ชาวจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้น จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนจะสกปรกก็ตาม บางคนที่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้าน ก็จะเพียงกวาดเศษฝุ่นไปไว้ที่มุมบ้าน แล้วค่อยเอาเศษฝุ่นนั้นไปทิ้งในวันต่อไป ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งวันก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง

              2. ห้ามสระผมหรือตัดผม

              ชาวจีนจะไม่นิยมสระผมหรือตัดผมกันในวันตรุษจีน หรือบางคนก็จะไม่สระผม 3 วันหลังจากวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า ผม เป็นคำพ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า มั่งคั่ง ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน จึงเหมือนกับการนำความมั่งคั่งออกไป

                3. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง

              ในวันตรุษจีน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดถึงความตายหรือผี เนื่องจากเชื่อว่า การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้ จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมไปถึงการที่ไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ตาย ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงพยายามไม่ใช้หรือไม่พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับเลข 4

               4. ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์

              คนจีนมักจะไม่กินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เนื่องจากเชื่อว่า คนจนคือคนที่มักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีนจึงเหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย และทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ

    ข้อห้ามตรุษจีน


                5. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน

              คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่าน

              6. ห้ามใส่ชุดขาว-ดำ

              เสื้อผ้าที่เป็นสีขาว-ดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้น การสวมเสื้อผ้าสีขาว-ดำในวันนี้จึงหมายถึงลางร้าย คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้

              7. ห้ามให้ยืมเงิน

              คนจีนบางคนอาจจะหมายรวมการที่ไม่ให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ นอกเหนือไปจากเงินแล้ว ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า การให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึง หากใครที่ติดเงินใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่า หากติดเงินใครในวันตรุษจีนแล้ว คนคนนั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น

              8. ห้ามทำของแตก

              คนจีนเชื่อกันว่า การทำสิ่งของแตก เช่น ทำแก้วแตก ทำจานแตก หรือทำกระจกแตก ในวันตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว ดังนั้นในวันนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้สิ่งของในบ้านแตกหรือชำรุดเสียหาย แต่หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า "luo di kai hua" ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น

    ข้อห้ามตรุษจีน

              9. ห้ามซื้อรองเท้าใหม่

              คนจีนจะถือคติที่ว่า จะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่า Hai ซึ่งคำว่า Hai นี้ มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี

               10. ห้ามร้องไห้

              คนจีนเชื่อกันว่า หากร้องไห้ในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดทั้งปี ดังนั้น แม้ในวันนี้เด็กเล็กจะดื้อขนาดไหน อากง อาม่า ก็อาจจะปล่อยให้วันหนึ่ง เพราะไม่อยากตีให้เด็กต้องร้องไห้ในวันนี้

    ข้อห้ามตรุษจีน
              11. ห้ามใช้ของมีคม

              ของมีคมก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับวันนี้ ทั้งมีด กรรไกร และอย่างอื่นที่สามารถตัดสิ่งอื่นได้ นั่นเพราะชาวจีนเชื่อว่า การใช้ของมีคมตัดสิ่งของ จะเป็นการตัดโชคดีไปด้วย 

              12. ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น
              รู้ไหม คนจีนหลายบ้านมีความเชื่อที่ว่า ในวันตรุษจีนนี้ ห้ามเข้าไปหาใครในห้องนอนด้วย ดังนั้น แม้เจ้าของบ้านป่วย นอนอยู่ในห้องนอน แต่เมื่อมีแขกมาเยี่ยมก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก อย่าให้แขกเข้ามาเยี่ยมในห้องนอนเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นโชคร้าย 
            ที่มา:https://hilight.kapook.com/view/66365

    ประวัติของ มาร์ติน ลูเธอร์คิง

    มาร์ติน ลูเธอร์

     (Martin Luther 1483-1546)
    มาร์ติน ลูเธอร์ เกิดที่เมือง ไอสเลเบน นครแซกโซนี ประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1483 บิดามารดาเป็นคนยากจนและไม่ได้รับศึกษา เมื่อเติบโตขึ้นก็ไม่มีเงินจะให้ลูเทอร์เข้าโรงเรียน ลูเธอร์ต้องเที่ยวร้องเพลงขอทานตามบ้านต่างๆ เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนในโรงเรียน เผอิญมีหญิงมั่งคั่งคนหนึ่งเกิดความเมตตาได้ช่วยเหลือให้เข้าอยู่ในมหาวิทยาลัยเมื่อ ค.ศ. 1500

    ลูเธอร์ได้ศึกษาศาสนศาสตร์ วรรณคดี ดนตรี และที่เอาใจใส่มากที่สุดคือกฎหมาย บิดาของลูเธอร์ก็ปรารถนาให้ลูเธอร์เป็นนักกฎหมาย แต่เมื่ออายุ 22 ปีเกิดเหตุการณ์หนึ่งคือเพื่อของลูเธอร์ถูกฆ่าตายในเวลาดวลต่อสู้กับบุคคลหนึ่ง ทำให้ลูเธอร์กลายเป็นคนกลัวผี ขี้ขลาด ต่อมาอีก 2-3 วันลูเธอร์จะเข้าประตูมหาวิทยาลัย ก็เกิดฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่ามาใกล้ๆ ลูเธอร์ได้อธิษฐานว่า ถ้ารอดพ้นไปได้จะบวชเป็นพระ

    ต่อมาในไม่ช้าในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1505 ลูเธอร์ก็เข้าไปอยู่ในอารามออกัสติเนียน (Augustinian Monastery) ในมหาวิทยาลัยวิตเตนเบิร์ก ตั้งหน้าศึกษาพระคัมภีร์อย่างเอาใจใส่ เป็นคนเฉลียวฉลาด พูดเก่ง จนในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้น

    ในปี ค.ศ. 1511 ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาราม ลูเทอร์ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่โรม และได้พบเห็นชีวิตของสันตะปาปาโอ่โถง หรูหราจนเกือบไม่มีกษัตริย์องค์ใดสู้ได้ และเห็นว่าพระไม่ควรดำเนินชีวิตอย่างนั้น

    จนในปีค.ศ. 1515 สันตะปาปาเลโอที่ 20 อยากจะสร้างโบสถ์ให้งดงามสมตำแหน่งจึงได้ตั้งบัญญัติใหม่ว่า ถึงแม้จะทำความผิดเป็นอุกฉกรรจ์มหันตโทษเพียงไร ก็สามารถล้างบาปได้โดยซื้อใบฎีกาไถ่บาป และบรรดานายธนาคารทั้งหลายในประเทศต่างๆก็ตกลงเป็นเอเยนต์รับฝากเงินที่คนทั้งหลายจะชำระล้างบาปโดยไม่ต้องส่งไปโรม ลูเธอร์ได้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ และเรียกประชุมผู้รู้ทั้งหลายมาปรึกษา โต้เถียงกับบัญญัติใหม่


    จนในปีค.ศ. 1917 เดือนตุลาคม [[ลูเธอร์ได้นำประกาศที่เรียกว่า”วิทยานิพนธ์ 95 เรื่อง” (The 95 Theses) ไปปิดไว้ที่ประตู้หน้าโบสถ์เมืองวิตเตนเบิร์ก ซึ่งมีเนื้อหาประณามการขายใบไถ่บาปของสันตะปาปา และการกระทำที่เหลวแหลกอื่นๆ]]

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1520 ลูเธอร์ได้รับหมาย”ขับออกจากการเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร” (Excommunication) โดยที่ลูเธอร์ต้องออกจากเขตปกครองของจักรพรรดิ ไปหลบที่วอร์มส์พร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ที่นั่นท่านได้แปลพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเยอรมัน และได้เขียนงานเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งมีทั้งมิซซาและศีลศักดิ์สิทธิ์(Sacraments) ซึ่งลูเธอร์ตั้งใจที่จะให้ชาวบ้านซึ่งไม่เข้าใจภาษาละติน สามารถเข้าถึงหลักคำสอนและมีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่างๆได้

    ลูเทอร์ได้ตั้งลัทธิลูเทอรัน (Lutheranism) ขึ้นโดยมีหลักความเชื่อดังนี้
    1. ผู้ชอบธรรมจะต้องดำรงชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น(The Just shall live by Faith alone) คือยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์และความรอด เป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ และการไถ่บาปได้มาจากพระเมตตาของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นการต่อต้านความเชื่อของสถาบันสันตะปาปา เกี่ยวกับความจำเป็นของพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อความรอด และการไถ่บาป 
    2. ผู้ที่เชื่อทุกคนคือผู้รับใช้พระเจ้า(Priesthood of all Believers) คือการยกเลิกนักบวชในศานาว่าเป็นผู้กุมกรรมสิทธิ์ในการติดต่อกับพระเจ้า ตามการกล่าวอ้างของสถาบันศาสนา แต่เน้นสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะสามารถมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้าได้
    3. เชื่อในคำตรัสของพระเยซูในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ถือว่ามีความหมายยิ่งของศาสนาเพราะเป็นการสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูและมนุษย์ 
    4. สิทธิอำนาจสูงสุดมีสิ่งเดียวคือ”พระวจนะของพระเจ้า” (Word of God) นั่นคือพระวจนะที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล, พระวจนะที่ได้ยินจากคำเทศน์บนธรรมมาสน์ และพระวจนะที่อยู่ในพิธีบัพติสมาและศีลมหาสนิท ดังนั้นจึงเป็นการยกเลิกการยอมรับตามสถาบันสันตะปาปาที่ว่าที่มาแห่งสิทธิอำนาจในศาสนาประกอบด้วยพระคัมภีร์ พิธีกรรม และสถาบันศาสนา คือเป็นการประกาศยกเลิกอำนาจของสันตะปาปานั่นเอง 
    5. เชื่อในพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจพระองค์ ทำให้มนุษย์ไร้ความหมายที่จะกระทำสิ่งใดด้วยใจอิสระของตนเองเพื่อเปลี่ยนแปลงพระประสงค์ และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
    โดยข้อคิดทั้งหมดนี้ถือเป็นหลักของ”ศาสนาคริสต์ปฏิรูป” (Reformed Church) ซึ่งประกาศเป็นทางการในปี ค.ศ. 1530 ณ การประชุมที่เมืองออกสเบิร์ก (The Diet of Augsburg) ที่แบ่งแยกผู้ติดตามลูเทอร์เป็นนิกายใหม่แยกจากสถาบันศาสนาที่โรม เอกสารรวมความเชื่อนี้เรียกว่าเอกสาร”การสารภาพแห่งเมืองออกสเบิร์ก” (The Confession of Augsburg) ซึ่งเรียกรวมขบวนการปฏิรูปศาสนาที่แยกตัวจากโรมนี้เรียกว่า พวกโปรเตสแตนต์ (The Protestants)

    หลังจากการประท้วงดังกล่าวได้ทำให้เกิดคลื่นกระแสการปฏิรูปศาสนาในยุโรปขยายออกไป เริ่มจากในเยอรมันโดยลูเทอร์ ไปสวิสเซอร์แลนด์โดยอูลริค สวิงกลิ(Ulrich Zwingli 1484-1531), ในฝรั่งเศสโดยจอห์น คาลวิน(John Calvin 1509-1564) และกลายเป็นลัทธิCalvinism ซึ่งแพร่หลายอย่างรวดเร็วไปยังเนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม ฮังการี่ สกอตแลนด์ และโปแลนด์ ในประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8(1509-1547) ซึ่งประสงค์จะหย่าจากพระมเหสีเพื่อจะอภิเษกสมรสกับคนใหม่ เพราะคนเดิมไม่สามารถมีพระโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ แต่พระสันตะปาปาไม่อนุญาตให้หย่า อังกฤษจึงแยกจากโรมนับแต่นั้นโดยตั้งองค์การขึ้นมาใหม่เรียกว่า”Church of England” ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งประมุขเสียเอง ซึ่งลัทธิอังกลิกัน(Anglicanism) นี้ยังคงรักษาหลักสำคัญบางประการของคาทอลิกไว้เพียงแต่ไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของสันตะปาปาเท่านั้น
    ที่มา:https://www.baanjomyut.com/library_2/protestant_denominations/03.html

    ประวัติของ เนลสัน แมนดาลา

    เนลสัน โรลีลาลา แมนเดลา (Nelson Rolihlahla Mandela) หรือที่รู้จักกันในนาม เนลสัน แมนเดลา อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ เขานับเป็นรัฐบุรุษของโลก ผู้ที่อุทิศตนที่ต่อสู้เพื่อล้มล้างความเชื่อ ลัทธิการเหยียดผิวและ ผลักดันให้เกิดสันติภาพให้เท่าเทียมกันทั่วโลก ล่าสุดเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา เนลสัน แมนเดลา ได้อสัญกรรม (เสียชีวิต) ลงด้วยวัย 95 ปี และเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ เนลสัน แมนเดลา วันนี้ทาง สกู๊ปเอ็มไทย จึงขอนำประวัติและ เรื่องราวชีวิตของ เนลสัน แมนเดลา มาบอกต่อกันครับ
    เนลสัน แมนเดลา
    เนลสัน แมนเดลา
    ประวัติเนลสัน มันเดลา
    เนลสัน แมนเดลา เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 เป็นผู้สืบทายาทสายหนึ่งของราชวงศ์เทมบู ที่ปกครองแคว้นทรานสไก ในจังหวัดอีสเทิร์นแคป ของประเทศแอฟริกาใต้ โดยเขาเกิดที่อึมเวโซ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองอุตาตา ซึ่งเป็นเมื่องหลวงของทรานสไก เดิมแท้จริงแล้ว เนลมัน แมนเดลา มีชื่อจริงว่า โรลีห์ลาห์ลา ซึ่งมีควายหมายว่า “เจ้าตัวยุ่ง”  แต่ต่อมา มันเดลา ได้เข้าไปศึกษาที่โรงเรียน ครูของเขาได้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้โดยเรียกว่า “เนลสัน” จึงทำให้ได้ที่มาเป็น เนลสัน แมนเดลา นั้นเอง
    เนลสัน แมนเดลา ได้สำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิทส์วอเทอแรนด์ ด้านกฎหมายหลักสูตรทางไกลกับมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งทำให้ เนลสัน แมนเดลา ได้พบเจอกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ได้รับความคิดแบบเสรีนิยม และความคิดต่อสู้เพื่อชาวแอฟริกัน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเหยียดผิว การถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ซึ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันให้เขาเริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับการเหยียดผิว
      เมื่อปี พ.ศ. 2491 ชัยชนะในการเลืองตั้งตกเป็นของพรรคชาตินิยม ซึ่งสนับสนุนนโยบายการแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรง ยิ่งทำให้ แมนเดลาเริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น เขาเป็นผู้นำคนสำคัญในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว โดยแมนเดลาเริ่มทำการเจรจารต่อต้านรัฐบาลโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่เขาและเพื่อร่วมขบวานการกว่า 150 คน ถูกจับกุมเมื่อวันที่  5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ในข้อหากบฏ แต่การไต่สวนคดีมีเวลายาวนานมาก ทำให้คดีสิ้นสุดลงโดยไม่มีความผิด
    ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 แมนดาลาได้เป็นผู้นำกองกำลังติดอาวุธของเอเอ็นซี ได้เปิดปฏิบัติการวินาศกรรมทางเศรษฐกิจจนกระทั่งถูกจับในที่สุด และเขาถูกแจ้งข้อหาก่อวินาศกรรม และพยายามโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรง โดยระหว่างการพิจารณาคดีที่เมืองริโวเนีย แมนเดลาได้ประกาศความเชื่อของเขาในเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเท่าเทียมว่า
    “ผมเชิดชูอุดมคติเรื่องสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพ ที่ซึ่งคนทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ และได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน นี่คือสังคมอุดมคติที่ผมปรารถนาจะไปให้ถึง เป็นอุดมคติที่ผมพร้อมจะอุทิศชีวิตให้”
    อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2507 เขาถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตบนเกาะร็อบเบนเป็นเวลา 18 ปี ก่อนถูกย้ายมายังเรือนจำโพลส์มัวร์บนแผ่นดินใหญ่ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้น พวกเยาวชนตามเมืองต่าง ๆ ของชนผิวดำยังคงต่อสู้กับการปกครองโดยคนผิวขาวส่วนน้อยต่อไป จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก
    ขณะนั้น โอลิเวอร์ แทมโบ ซึ่งเป็นสหายของแมนเดลา ในสมัยศึกษาปริญญาตรีด้วยกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัย ได้รณรงค์ระดับสากล เรียกร้องและกดดันให้ ปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา ด้วยวิธีจัดคอนเสิร์ต ณ สนามกีฬาเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 72,000 คน อีกทั้งยังถ่ายทอดผ่านทางโทรทัศน์ ทำให้สุดท้าย ไม่สามารถทนแรงกดดันจากทั่วโลกได้ จะต้องสั่งปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา ให้เป็นอิสระแต่วิถีชีวิตของ เนลสัน ยังไม่หยุดลงแค่นั้น ในปี พ.ศ. 2536 เขาได้รับรางวัลสาขาสันติภาพ อีกทั้งชาวแอฟริกาใต้ทุกผัวสี ได้ลงคะแนนเสียงให้เขาเปนประธานาธิบดี ของแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2537 ซึ่งเขาได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียสีผิวเป็นลำดับต้นๆ จนถึงเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2542 เขาได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีลง แต่เขายังใช้เวลาส่วนใหญ่กับเรื่องสิทธิมนุษยชนและ ความรู้เรื่องการติดต่อของโรคเอดส์ ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในแอฟริกาเป็นอย่างมาก
    เนลสัน แมนเดลา
    เนลสัน แมนเดลา
    จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าชีวิตของ เนลสัน แมนเดลา ได้ผ่านเรื่องราวการต่อสู้มาอย่างยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีการแบ่งแยกเหยียดสีผิว ซึ่งถึงแม่ว่า เนลสัน จะต้องจากไปด้วยโรคปอดและโรคแทรกซอนเรื้อรังมาอย่างยาวนาน แต่เนลสัน แมนเดลา ก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษของโลก ที่เป็นนักสู้ที่ทำเพื่อคนทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
    ที่มา:https://scoop.mthai.com/hot/5548.html

    มารยาทในการรับประทานอาหาร

    มารยาทในการรับประทานอาหาร ทั้งแบบสากลและแบบไทยแท้ ๆ มีอะไรที่เราควรทราบไว้บ้าง เพื่อจะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม มาดูกันเลย ...