วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

อิกลู

อิกลู

อิกลู

อิกลู (อังกฤษIgloo) คือ ที่พักอาศัยของชาวเอสกิโมซึ่งเป็นมนุษย์เผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางแถบขั้วโลกเหนือหรือชนเผ่าบางกลุ่มที่อาศัยในเขตหนาว วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นก็คือน้ำแข็งซึ่งถูกตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมให้มีขนาดที่เหมาะสมแล้วนำไปวางซ้อนกันเป็นชั้นๆเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายโดม โดยเจาะทางเข้าไว้ที่ระดับต่ำเพื่อป้องกันลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาด้านใน ภายในจะมีหนังสัตว์ขึงไว้ที่ผนังเพื่อใช้เป็นฉนวนสำหรับกักเก็บความร้อนที่เกิดจากการจุดตะเกียงหรือความร้อนจากร่างกายมนุษย์ ซึ่งหลักการสร้างเหล่านี้อาจทำให้อุณหภูมิด้านในอิกลูมีค่าระหว่าง -7 จนถึง 16 องศาเซลเซียส โดยอาศัยเพียงการปรับอุณหภูมิกายอย่างเดียว[1] ขณะที่ภายนอกอิกลูนั้นอุณหภูมิอาจต่ำถึง -45 องศาเซลเซียส

อิกลูนั้นสามารถสร้างได้หลายขนาดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น ถ้าต้องการใช้พักอาศัยชั่วคราวสำหรับวันที่ออกล่าสัตว์ก็จะสร้างเป็นอิกลูขนาดเล็กที่มีโครงสร้างง่ายๆไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ถ้าต้องการสร้างสำหรับพักอาศัยในระยะยาวก็อาจสร้างให้มีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนห้องเพิ่มเติม

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ออโรรา(aurora)

ออโรรา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน โดยมักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยบางครั้งจะเรียกว่า แสงเหนือหรือ แสงใต้ ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิด
ปรากฏการออโรราเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าทึงที่สุดที่เกิดขึ้นในอวกาศที่ใกล้พื้นโลก มันอาจปรากฏจากสิ่งจางๆ เป็นวงนิ่ง แล้วระเบิดออกมาเป็นสีต่าง ๆ พุ่งกระจายภายในเวลาไม่กี่วินาที บางครั้งจะปรากฏเหมือนมันจะแตะกับพื้น หรือในเวลาอื่นอาจเห็นมันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ความจริงแล้ว แสงออโรรานั้นเกิดขึ้นที่ความสูงจากพื้นโลก (altitudes) ประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตร บริเวณที่อยู่บริเวณบรรยากาศชั้นบนที่อยู่ใกล้กับอวกาศ
                           
ความหมายของชื่อ
แสงเหนือ ตามประวัตินั้นมีชื่อมากมายหลายชื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ของปรากฏการณ์นี้ คือ ออโรรา บอเรลลีส (Aurora Borealis) ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า รุ่งอรุณสีแดงแห่งทิศเหนือ ซึ่งตั้งชื่อโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) (ค.ศ. 1564 – 1642)
คำว่า "Aurora Borealis" แปลว่า "แสงเหนือ" (Northern Light) ส่วน "Aurora Australis" แปลว่า "แสงใต้" (Southern Light) และคำว่า "Aurora Polaris" แปลว่า "แสงขั้วโลก" ใช้เรียกทั้งแสงเหนือและแสงใต้
สถานที่และโอกาสการเกิดออโรรา
ในเขตที่มีการปรากฏของออโรรา สามารถสังเกตออโรราได้ทุกคืนที่ฟ้าโล่งในฤดูหนาว โดยมีข้อสังเกตดังนี้
  • ออโรราจะปรากฏบ่อยครั้ง ตั้งแต่เวลา 22.00 น ถึง เที่ยงคืน
  • ออโรราจะสว่างจ้าในช่วง 27 วันที่ดวงอาทิตย์หันด้านแอคทีฟ (Active Area) มายังโลก
  • ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์ และ มีนาคม เป็นเดือนที่เหมาะสำหรับการชมออโรราทางซีกโลกเหนือ
  • ออโรรามีความสัมพันธ์กับจุดสุริยะ (Sun Spot) บนดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นวัฎจักรประมาณ 11 ปี แต่ดูเหมือนว่า จะมีการล่าช้าไป 1 ปีสำหรับการเกิดจุดดับมากที่สุดกับการเกิดออโรรามากที่สุด
ตารางที่ 1 แสดงความถี่ในการปรากฏออโรราในสถานที่ต่างๆทั่วโลก
  • ออโรราจะปรากฏลดลง 20-30% กว่าตอนที่เกิดจุดสุริยะมากที่สุด เมื่อเกิดจุดสุริยะบนดวงอาทิตย์น้อยที่สุด
ออโรราจะปรากฏในแถบประเทศเมดิเตอเรเนียนเมื่อเกิดจุดสุริยะหรือมีลมสุริยะมากๆ อาจถึง 10 ปีต่อครั้ง โดยเฉลี่ยแล้วเกิด 100 ปีต่อครั้ง

สถานที่ปรากฎออโรรา
บริเวณที่เกิดออโรราเป็นบริเวณรูปไข่ (Oval-shape region) รอบๆ ขั้วแม่เหล็กของโลก โดยรูปไข่จะเบ้ไปทางด้านกลางคืนของโลก เมื่อออโรราสงบ รูปไข่จะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3000 กิโลเมตร แต่เมื่อเกิดออโรรารุนแรงขึ้น รูปไข่จะกว้างขึ้นกว่า 4000 หรือ 5000 กิโลเมตร เนื่องจากขั้วแม่เหล็กเหนือของโลกอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดา ออโรรา โบเรลลีส (Aurora Borealis) จึงพบมากที่เส้นรุ้ง (Latitude) ที่มีประชากรอาศัยมากในซีกโลก (hemisphere) ตะวันตก ส่วนออโรราออลเตรลีส (Aurora Australis) สามารถมองเห็นได้จากเกาะทัชมาเนีย (Tasmania) และทางตอนใต้ของนิวซีแลนด์

สีของออโรรา
ดวงอาทิตย์ปล่อยแสงทุกสีที่มองเห็นได้ออกมาก ทำให้เราเห็นแสงอาทิตย์เป็นสีขาว ส่วนสเปคตรัมของออโรรา ก่อนจะศึกษารายละเอียด เราต้องรู้เรื่อง สาเหตุการเกิดแสงก่อน
ในบรรยากาศประกอบด้วยไนโตรเจน และ ออกซิเจน เป็นหลัก อนุภาคของแก๊สเหล่านี้จะปลดปล่อยโฟตอนซึ่งมีความยาวคลื่นคงที่ เมื่ออนุภาคมีประจุไฟฟ้า กระตุ้นแก๊สในบรรยากาศ อิเล็กตรอนจะเริ่มเคลื่อนที่รูปนิวเคลียสในวงโคจรที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะมีพลังงานเหลือเฟือ อนุภาคที่ถูกกระตุ้นจะไม่เสถียรและจะปลดปล่อย พลังงานออกมาในรูปของแสง เรียกว่าแสงนี้ว่า ออโรรา
แสงสีเขียวเข้ม เกิดที่ความสูง (Altitudes) ที่ 120 ถึง 180 กิโลเมตร แสงเหนือสีแดงปรากฏที่ความสูงที่สูงกว่า ส่วนสีฟ้า และม่วงปรากฏที่ความสูงต่ำกว่า 120 กิโลเมตร เมื่อเกิดพายุสุริยะ 000 แสงสีแดงจะปรากฏที่ความสูงตั้งแต่ 90 ถึง 100 กิโลเมตร
เมื่อออโรราจางลง มันจะปรากฏเป็นสีขาวเมื่อมองด้วยตาเปล่า เมื่อมันสว่างขึ้น สีจึงมองเห็นขึ้นมา และสีเขียวซีดที่เป็นเอกลักษณ์ของมันจะมองเห็นขึ้นมา
เมื่อมีความหนาแน่นมากขึ้น ในบริเวณที่ต่ำลงมาจะมองเห็นเป็นสีเขียวสด และ สีแดงจางๆจะมองเห็นที่
ความสูงมากๆ
เหนือชั้นบรรยากาศขึ้นไป 100 กิโลเมตร ประกอบด้วยโมเลกุลไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง ไนโตเจนจะมีมากที่ความสูง 10 กิโลเมตร และออกซิเจน มีมากที่ 200 กิโลเมตร เส้นกราฟสีเขียวแสดงความหนาแน่นของก๊าซออกซิเจนและสีม่วงแสดงความหนาแน่นของก๊าซไนโตรเจน ณ ความสูงต่าง ๆ ในชั้นบรรยากาศเทอโมสเฟียร์ เมื่ออะตอมออกซิเจนถูกกระตุ้น มันจะปล่อยแสงมากมายหลายสีออกมาก แต่สีที่ที่ส ว่างที่สุดคือที่แดงและสีเขียว

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

วิหารเซนต์ไอแซค



วิหารเซนต์ไอแซคถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1710 ตามเจตจำนงของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช โดยใช้หินแกรนิตชิ้นเดียวขนานกว่า 118 ตัน จำนวน 48 ชิ้นเพื่อนำมันมาเป็นฐานรองรับโดมที่ใหญ่ติดระดับโลกอีกชิ้นหนัก 67 ตัน บนพื้นที่กว่า 4000 ตารางเมตร ลำพังระยะเวลาการทำผนังและวางรากฐานนั้นต้องใช้เวลาอย่างต่ำถึง 5 ปี ด้วยเสาเข็มกว่า 50000 ต้น เมื่อวัดระยะความสูงจากฐานถึงโดมจะมีขนาดความสูงกว่า 100 เมตร โดยหินที่ใช้ในการก่อสร้างถูกส่งมาจากน่านน้ำฝั่งฟินแลนด์ มันยากลำบากมากกว่าจะเข้ามาถึงพื้นที่ด้วยน้ำหนักของมันเกินกำลัง เมื่อมาถึงคนงานก็จัดการใช้เชือกมัดแท่งหินเสาให้ตั้งขึ้น เสาต้นหนึ่งใช้เวลาดึงขึ้นถึง 45 นาที เมื่อคำนวณเวลาของแรงงานคนนับเสาต้นใหญ่ได้ 48 ต้นรวมต้นเล็กอีก 112 ต้นจึงไม่น่าแปลกใจซักเท่าไหร่ที่ระยะเวลาการสร้างมันถึงได้นานเพียงนี้ ความวิจิตรของที่นี้คือยอดโดมที่ทำเป็นรูปโงครึ่งวงกลมซ้อนกันใต้โครงเหล็กพิเศษ ที่บรรเลงงานฉาบทองบนปลายยอดของโดม มีการใช้ปรอทผสมทองคำหลอมเทราดลงไปอีกชั้นมันทำให้โลหะที่ฉาบอยู่คงทนและคงกระพันมาจนถึงวันนี้ ซึ่งกรรมวิธีนี้คร่าชีวิตคนแรงงานไปจำนวนมากตลอดระยะเวลาก่อนก่อสร้าง เนื่องจากการระเหยสารพิษของเจ้าปรอท
ส่วนงานภายในเริ่มจากประตูทางเข้าหน้าวิหาร ทำจากไม้โอ๊กและสัมฤทธิ์มีน้ำหนักถึง 6 ตัน ด่านในจะประกอบไปด้วยรูปหล่อของเหล่าบรรดานักบุญชื่อดังอยู่ที่ผนังห้องดินกว่าหนึ่งล้านใบ เพื่อทำให้เกิดเสียงดังกังวาน มีการใช้หินอ่อนหลากสีและการละเลงสีน้ำลงไปเป็นงานตกแต่งภายในแต่มันก็ลบเลือนตามกาลเวลา
ที่จะเห็นชัดที่สุดคงเป็นงานแกะสลักมากกว่า และภายหลังมีการเปลี่ยนมาเป็นประดับประดาด้วยโมเสกแทน เช่น มาคาไคล ลาปิสลาสุลีสีเขียวโดดเด่นและหินอ่อนคุณภาพดีหลากสีตามด้วยเครื่องตกแต่งที่ทำด้วยสำริดเครือบทองคำเปลวมูลค่าสูงและหายากมากๆอยู่ในวิหารด้วย ยังมีงานของศิลปินอยู่ในนั้นอีกมากทั้งภาพปูนเปียก รูปปูนปั้นแกะสลักถูกใช้แต่งโบสถ์ แต่ที่เด่นที่สุงคงเป็นภาพของแม่มาดอนน่าของช่างเอก งานทั้งหมดภายนอกและภายในเพื่อความอลังการด้วยช่างฝีมือดีทั่วรัสเซียกว่า 200 คน วิหารแห่งนี้ถูกทำและขยายต่อทั้งหมด 3 ครั้ง กินระยะเวลาถึง 40 ปี กินเงินหลวงไปจำนวนมหาศาลแต่ผลลัพธ์ของมันวิจิตรเกินกว่าใครจะทำได้อีกครั้ง วิหารแห่งนี้ใหญ่พอที่จะรับคนร่วม 10000
และใกล้พื้นที่ใกล้เคียงกันกับมหาวิหารไอแซคก็จะมีรูปปั้นที่เรียกว่า "The Bronze Horseman" รูปปั้นแห่งนี้เปรียบเสมือนรูปจำลองของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชที่ได้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมา เป็นความตั้งใจของพระนางแคทเธอรีนที่ต้องการสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงบุรุษในดวงใจของพระนาง พระนางแคทเธอรีนสั่งศิลปินชื่อดังจากเมืองน้ำหอม นามว่า เอเตียง โมริส ฟัลโคเน็ต ให้ปั้นร่างพระเต้าปีเตอร์ชี้พระหัตถ์ไปยังแม่น้ำเนวา พร้อมทอดพระเนตรไปทิศทางเดียวกันแสดงถึงปณิธานของพระองค์ที่ทรงหวังว่าเมืองแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางและมหาอำนาจใหม่ของยุโรป ส่วนงูที่อยู่ใต้เกือกม้าหมายถึงภัยร้ายที่ไม่สามารถกลั้นกลายเข้ามาในถิ่นนี้ได้

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561

มารยาทที่ดีบนโต๊ะอาหารของชาวฝรั่งเศส

Les bonnes manières indispensables à table
(เล บอน มานิแยร์ แอ็งดิสป็องซ๊าบ อา ต๊าบเบลอะ)
มารยาทที่ดีและจำเป็นอย่างยิ่งบนโต๊ะอาหาร




1. ไม่ควรทำอะไรบนโต๊ะอาหาร ก่อนเจ้าบ้าน(Hôte)จะทำก่อนเป็นครั้งแรก เช่น เราไม่ควรหยิบช้อนมาเล่นเป็นวงเคาะกะลา หรือนั่งดีดแก้วให้มีเสียงกังวานน่าฟัง เพราะเป็นการกระทำต้องห้ามสำหรับแขก


2. หากเราเป็นแขกหน้าใหม่ ไม่ค่อยทราบธรรมเนียมปฏิบัติ เราก็แค่นั่งรอเงียบๆ ใช้สายตาสังเกตคนข้างๆว่าเขาทำอะไร แล้วก็ทำตามอย่างเขาเลยครับ


3. เวลาทานซุป อย่านำช้อนเข้าปากทั้งช้อนด้วยความยินดีในรสชาติอันแสนเอร็ดอร่อยนะครับ เริ่มตั้งแต่เวลาตักเลย ให้เราตักซุปแบบตักออกจากตัวเอง แล้วค่อยจิบซุปอย่างละเมียดละไมครับ


4. หากไม่แน่ใจว่าจะใช้มือในการหยิบจับอาหาร(จำพวกขนมปัง)ได้ไหม ขอแนะนำให้ใช้ภาชนะบนโต๊ะแทนมือเปล่าจะดีกว่านะครับ


5. คุณต้องไม่วางภาชนะบนผ้าปูโต๊ะหลังจากที่ใช้มันแล้ว เช่น เมื่อใช้ช้อน ส้อม หรือมีดแล้ว ต้องไม่วางบนโต๊ะนะครับ


6. จงตั้งสติให้ดี ถ้าหากเผลอทำสิ่งใดหก หรือคว่ำบนโต๊ะ ต้องไม่เอะอะโวยวายให้แขกท่านอื่นและเจ้าบ้านต้องรำคาญใจ


7. เกลือกับพริกไทยจะอยู่คู่กันตลอดบนโต๊ะ


Du sel (ดู แซ็ล) = เกลือ


Du poivre(ดู ป๊วฟเวรอะ) = พริกไทย


อย่าได้ถามหาซอส น้ำปลาหรือเครื่องปรุงอื่นนะครับ จะเป็นการเสียมรรยาทเพราะเหมือนเป็นการดูถูกในรสชาติอาหาร หากเป็นในร้านอาหารก็จะเท่ากับว่าเป็นการดูถูกเชฟครับ


8. อย่าลืมคำพูดเหล่านี้เด็ดขาด เวลาจะขอความช่วยเหลือและขอบคุณ


S’il vous plaît (ซิล วู เปล) = ได้โปรด = Please


Merci (แมร์ซี่) = ขอบคุณ = Thank you


9. ห้ามใส่น้ำแข็งในแก้วไวน์เพื่อเพิ่มความเย็นฉ่ำเด็ดขาด


10. หากคุณต้องการดื่มไวน์อีก ก็แค่ดื่มในแก้วให้หมด แล้วรอเติมใหม่


แต่ถ้าไม่ต้องการอีก ควรเหลือไวน์ไว้ก้นแก้วเพื่อเป็นการบ่งชี้ว่าไม่รับเพิ่มแล้ว


11. เมื่อทานเสร็จแล้ว วางภาชนะไว้ในแนวขนานบนจาน(ช้อน ส้อม คู่กัน)


12. มือทั้งสองข้างของเราต้องวางให้เห็นบนโต๊ะ ไม่เก็บไว้ใต้โต๊ะแอบเล่นมือถือ


แคะ แกะ หรือเกาอะไรทั้งสิ้น


13. ไม่พูดคุยขณะอาหารเต็มปาก และไม่ทานอาหารเสียงดัง ข้อนี้ก็เหมือนมรรยาทไทยเลยครับ


14. ไม่ควรวางสิ่งของอื่นๆบนโต๊ะ เช่น


(nm.)Portefeuille (ปอร์เตอะเฟย) = กระเป๋าเงิน = Wallet


(nm.)Téléphone portable (เตเลฟอน ปอร์ต๊าบเบลอะ) = โทรศัพท์มือถือ =Mobile telephone


(nf.)Clé (เกล) = กุญแจ = Key


15. หากเป็นผู้หญิง ควรระวังไม่ให้มีรอยลิปสติกติดแก้ว


16. หากอยากทำธุระส่วนตัว เช่น จะไปเข้าห้องน้ำ ให้เอ่ยว่า
Excusez-moi (เอ๊กซ์กูเซ่ มัว)= Excuse
me ครับ


วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประเทศอินโดนีเซีย

ประเทศอินโดนีเซีย (INDONESIA)



ประเทศอินโดนีเซีย (INDONESIA)

เมืองหลวง อินโดนีเซีย : จาการ์ตา (Jakarta) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ศาสนา : อิสลามร้อยละ 88 คริสต์ร้อยละ 8 ฮินดูร้อยละ 2 พุทธร้อยละ 1 และศาสนาอื่นๆร้อยละ 1
วันชาติ อินโดนีเซีย : วันที่ 17 สิงหาคม
การเมืองการปกครอง : ประชาธิปไตยที่มีประธานาธิปดีเป็นประมุข และหัวหน้าฝ่ายบริหาร
พื้นที่ :  1,904,433 ตารางกิโลเมตร (หรือ 10 เท่า ของไทย)
ประชากร : มีจำนวนประชากร 241 ล้านคน ประกอบด้วย ชนพื้นเมืองหลายกลุ่ม
ภาษา : ภาษาอินโดนีเซีย เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ อินโดนีเซีย : กาโด กาโด (Gado Gado) ประกอบไปด้วยผักและธัญพืช 
สัตว์ประจำชาติ อินโดนีเซีย : มังกรโคโมโด
สกุลเงิน อินโดนีเซีย : รูเปียห์ (Rupiah) 
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :  8 สิงหาคม 1967 เป็น 1 ใน 5 ประเทศในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid)

สถานที่สำคัญ :

       1.บาหลี



                หากพูดถึงการมาเที่ยวอินโดนีเซียแล้ว หลายท่านคงนึกถึงบาหลีเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอนใช่มั้ยคะ

 และบาหลียังเป็นสถานที่เที่ยวที่ยอดนิยมสุดๆ ด้วยความสวยงามของภูมิประเทศที่หลากหลาย ที่มีลักษณะภูมิศาสตร์

ของภูเขาไฟ กับนาข้าวแบบขั้นบันได แถมยังเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำหลายสายของบาหลี นอกจากบาหลีจะมีภูมิประเทศที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆแล้ว บาหลียังโดดเด่นในเรื่องศิลปะ ประเพณีวัฒนธรรมและศาสนามากกว่าพันปีอีกด้วยค่ะ

      2.มหาเจดีย์บุโรพุทโธ

          วัดบุโรพุทโธ ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของศาสนาพุทธลัทธิมหายานที่มีความเก่าแก่ และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก โดยสถาปัตยกรรมที่แสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยะสูงสุดทางศิลปะสมัยไศเลนทรา ที่แตกต่างจากโบราณสถานทุกแห่งในชวา และยังเป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธมาอย่างช้านาน

                องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้บุโรพุทโธเป็นมรดกโลก ในปีพ.ศ. 2534 บุโรพุทโธ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในภาคกลางของเกาะชวา ห่างจากยอกยาการ์ตาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 1293 - 1393 โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ บุโรพุทโธจะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก บุโรพุทโธสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศไศเลนทร์ เป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ พุทธศักราช 1393 บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุต บนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้นลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้นสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป หากมองจากพื้นดินในระยะไกล บุโรพุทโธ คือสถูป ซึ่งเป็นรูปแบบของจักรวาลที่มีส่วนประกอบในแนวตั้งสามส่วนด้วยกันคือ ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับองค์สถูปและยอดฉัตร ถ้าเดินตามเส้นทางแสวงบุญเก่าแก่จากทางตะวันออก ก้าวขึ้นอนุสรณ์สถานที่ลดหลั่นเป็นชั้น ๆ และมีเฉลียงรอบ เดินวนรอบเฉลียงตามเข็มนาฬิกา จะเห็นว่ารูปนูนแกะสลักและรูปปั้นทุกชั้นล้วนเป็นส่วนสำคัญขององค์รวม

ประเทศเมียนมาร์

ประเทศเมียนมาร์ (MYANMAR)

สิงหาคม 01, 2561

ประเทศเมียนมาร์ (MYANMAR)

-เมืองหลวง เมียนมาร์ : เนปีดอ (Naypyidaw)
-ศาสนา : พุทธ 90%, คริสต์ 5%, อิสลาม 3.8%
-วันชาติ : วันที่ 4 มกราคม
-การเมืองการปกครอง เมียนมาร์ : ระบบเผด็จการทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ
-พื้นที่ :  677,000 ตารางกิโลเมตร
-ประชากร : มีจำนวนประมาณ 56,400,000 คน มีชาติพันธุ์พม่า 68%, ไทใหญ่ 9%, กะเหรี่ยง 7%, ยะไข่ 3.50%, จีน 2.50%, มอญ 2%, คะฉิ่น 1.50%, อินเดีย 1.25%, ชิน1%, คะยา 0.75% และอื่นๆ 4.50%
-ภาษา : ภาษาพม่า เป็นภาษาราชการ
-อาหารประจำชาติ เมียนมาร์ : หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า คือใบชาหมักทานกับเครื่องเคียง
-สัตว์ประจำชาติ เมียนมาร์ : เสือ
-สกุลเงิน เมียนมาร์ : จ๊าด (Kyat) 
-วันที่เข้าร่วมอาเซียน :  วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1997
-ดอกไม้ประจำชาติ :  ดอกประดู่ (Paduak)
-สถานที่สำคัญ :

1.พระธาตุอินทร์แขวน


พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่ที่เมืองไจโท อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขาพวงลวง เหนือระดับ น้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ นับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ

เครดิตภาพจาก : tripadvisor.com

2.มหาเจดีย์ชเวดากอง

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยชื่อ "ชเว" หมายถึง ทอง "ดากอง" นั้นเป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์

ประเทศสิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์ (SINGAPORE)



ประเทศสิงคโปร์ (SINGAPORE)

-เมืองหลวง สิงคโปร์ : สิงคโปร์ สิงคโปร์เป็นประเทศเดียวที่ไม่มีเมืองหลวง เนื่องจากเป็นเกาะขนาด 710 ตารางกิโลเมตร จึงบริหารประเทศทั้งหมดเป็นรัฐเดียว
-ศาสนา : พุทธ 42.5%, อิสลาม 14.9
%, คริสต์ 14.5%, ฮินดู 4%, ไม่นับถือศาสนา 25%
-วันชาติ : วันที่ 9 สิงหาคม
-การเมืองการปกครอง สิงคโปร์ : ปกครองแบบสาธารณรัฐ มีรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐสภาวาระคราวละ 5
-พื้นที่ :  697.1 ตารางกิโลเมตร
-ประชากร : มีจำนวนประมาณ 5,469,700 คน ประกอบด้วยชาวจีน 75%, มาเลย์ 15%, อินเดีย 10%
-ภาษา : ภาษาราชการ มี 4 ภาษาด้วยกัน คือ ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู ภาษาจีนแมนดาริน และภาษาทมิฬ
-อาหารประจำชาติ สิงคโปร์ : ลักซา (Laksa) อาหารยอดนิยมของสิงคโปร์ เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ) ลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย น้ำแกงเข้มข้นด้วยรสชาติของกะทิ กุ้งแห้ง และพริก โรยหน้าด้วยกุ้งต้ม หอยแครง
-สัตว์ประจำชาติ สิงคโปร์ : สิงโต ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศ มาจากคำว่า สิงหปุระ (Singapura) เป็นภาษาสันสกฤต
-สกุลเงิน สิงคโปร์ : ดอลล่าร์สิงคโปร์ 
-วันที่เข้าร่วม-อาเซียน : 8 สิงหาคม 1967 เป็น 1 ใน 5 ประเทศในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim)
-สถานที่สำคัญ : 
วัดพระเขี้ยวแก้ว (Tooth Relic Buddha Temple)

แผนที่

วัดจีนศิลปกรรมสมัยราชวงศ์ถังผสมศิลปะมันดาลา (Mandala) หลังใหญ่โตอลังการ ตั้งตระหง่านอยู่ในไชน่าทาวน์ (China Town) ซึ่งอาคารชั้นบนสุดของวัดได้บรรจุพระสารีริกธาตุพระทนต์ของพระพุทธเจ้าไว้ในสถูปทองคำหนักกว่า 320 กิโลกรัม ที่ได้มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา นอกจากนี้ภายในวัดก็ยังมีพิพิธภัณฑสถานทางพุทธศาสนาขนาดย่อม ให้ผู้มาสักการะได้ศึกษา และเยี่ยมชมอีกด้วย

วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kwan Im Thong Hood Cho Temple)

แผนที่

วัดเจ้าแม่กวนอิม ที่มีความเชื่อกันว่าหากไปขอพรแล้วจะสมหวัง จึงไม่น่าแปลกใจหากคุณจะเห็นฝูงชนมากมายต่อคิวเข้าไปสักการะขอพรในวัด และหากคุณเชื่อในเรื่องโชคลาง เซียมซีที่วัดแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีความแม่นยำยิ่งนัก เนื่องด้วยจำนวนผู้คนที่มาสักการะเป็นจำนวนมาก จึงมีการห้ามถ่ายรูปภายในตัววัด และหากพนักงานของวัดมาเก็บธูปของคุณออกจากกระถางหลังจากคุณปักลงไป เพื่อให้ผู้มาสักการะคนถัดมามีที่ปักธูปได้ ก็อย่าไปโกรธเขาเลย

วัดเซียนฮกเก๋ง (Thian Hock Keng Temple)

แผนที่

วัดเซียนฮกเก๋ง หรือวัดแห่งความสุขบนสรวงสวรรค์ สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพธิดาแห่งท้องทะเล ที่เชื่อกันว่าช่วยคุ้มครองให้ผู้อพยพเดินทางมาถึงฝั่งเกาะสิงคโปร์ได้โดยปลอดภัย เป็นวัดที่มีความวิจิตรงดงามมาก และขึ้นชื่อได้ว่าเป็นวัดที่สวยที่สุดในสิงคโปร์ ความอัศจรรย์ใจอีกอย่างของวัดนี้ก็คือ โครงสร้างทั้งหมดของวัดถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว นอกจากนี้ยามคุณจะเดินเข้าภายในตัววัด จะต้องยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูซึ่งมีความสูงเป็นพิเศษ เชื่อกันว่าไว้ป้องกันภูตผีเข้ามาในวัด และเพื่อให้คนที่เข้ามาสักการะก้มหัวทำความเคารพก่อนเดินเข้าวัด

ประเทศฟิลิปปินส์

ประเทศฟิลิปปินส์ (PHILIPPINES)



ประเทศฟิลิปปินส์ (PHILIPPINES)

เมืองหลวง ฟิลิปปินส์ : กรุงมะนิลา
ศาสนา : ร้อยละ 92.5 นับถือศาสนาคริสต์ โดยร้อยละ 83 นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และร้อยละ 9 เป็นนิกายโปรเตสแตนต์
วันชาติ ฟิลิปปินส์ : วันที่ 12 มิถุนายน
การเมืองการปกครอง ฟิลิปปินส์ : ระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
พื้นที่ :  300,000 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : มีจำนวนประมาณ 103,000,000 คน
ภาษา : ภาษาฟิลิปีโน และภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ ฟิลิปปินส์ : อโดโบ้ (Adobo) เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยม ของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากหมู หรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบ หรือทอด และรับประทานกับข้าว
สัตว์ประจำชาติ ฟิลิปปินส์ : กระบือ เป็นสัตว์ประจำชาติฟิลิปปินส์ ในภาษาตากาล็อกเรียกว่า คาราบาว
สกุลเงิน ฟิลิปปินส์ : เปโซ (Peso)
วันที่เข้าร่วมอาเซียน : วันที่ 8 สิงหาคม
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine)
สถานที่สำคัญ :
 1. อุทยานธรรมชาติปะการังตุบบาตาฮา (Tubbataha Reef)

ภาพจาก orpheusdive

           ใครที่ชื่นชอบการดำน้ำชมปะการัง อย่าลืมแวะเวียนมาที่ทะเลซูลู (Sulu Sea) เพราะมันเป็นที่ตั้งของอุทยานธรรมชาติปะการังตุบบาตาฮา ปะการังวงแหวนอันสวยงามและมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังคงความสมบูรณ์ รวมทั้งมีปลาทะเลมากมายหลายสายพันธุ์ โดยอุทยานแห่งชาติปะการังตุบบาตาฮาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาดำน้ำชมปะการังในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน นั่นก็เพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าวทะเลมีคลื่นลมสงบนั่นเอง

 2. โบสถ์ซานอากุสติน (San Agustin Church)

ภาพจาก TappasanPhurisamrit / shutterstock.com

           โบสถ์ซานอากุสติน ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา และยังเป็นโบสถ์อันเก่าแก่ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1589 ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากเคยเกิดแผ่นดินไหวถึงเจ็ดครั้งและไฟไหม้อีกสองครั้ง ทว่าโบสถ์ซานอากุสตินยังคงรอดพ้นมาได้และคงสภาพที่สมบูรณ์เช่นเดิม ด้านสถาปัตยกรรมนั้น ภายนอกของโบสถ์ทำจากหินส่วนภายในได้รับอิทธิพลการตกแต่งแบบเม็กซิกัน ดังจะเห็นได้จากการออกแบบไม้กางเกงและจิตรกรรมฝาผนังโดย Giovanni Dibella และ Cesare Alberoni สองศิลปินชาวอิตาเลียนที่ได้บรรจงวาดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1800

มารยาทในการรับประทานอาหาร

มารยาทในการรับประทานอาหาร ทั้งแบบสากลและแบบไทยแท้ ๆ มีอะไรที่เราควรทราบไว้บ้าง เพื่อจะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม มาดูกันเลย ...